สวัสดีครับชาว GOLDFIFH ทุกคนเจอกันอีกแล้วน๊า หวังว่าคงยังไม่เบื่อกันนะ เอาล่ะๆสำหรับวันนี้ผมจะพูดถึงเรื่อง โรคของปลาทอง จากเมื่อครั้งที่แล้วได้พูดถึงเรื่องการดูแลปลาทองไป วันนี้ก็จะมาดูโรคของเจ้าตัวน้้อยของเราดูมั่ง-โรคหนอนสมอ อาการก็คือ หนอนสมอจะใช้ส่วนหัวฝังเข้าไปในตัวปลาและยื่นส่วนหางออกมาทำให้เห็นเหมือนมีเส้นด้ายเกาะติดอยู่ที่ตัวปลานะครับถ้าดึงออก หนอนสมอมันก็จะขาดครึ่งแล้วมีส่วนที่ฝังอยู่ในตัวปลาครับ ปลาที่พบหนอนสมอจะมีอาการซึมไม่กินอาหาร ว่ายถูตัวกับขอบตู้หรือบ่อ และมีรอยแดงช้ำเป็นจ้ำๆเลยทีเดียว การรักษานะครับ แช่ปลาในสารละลาย ดิพเทอเร็กซ์ แช่ตลอดไป และแช่ซ้ำทุก 7 วัน เป็นเวลา 1 เดือนครับ และควรแยกออกมารักษาตัวเดียวด้วย -โรคเห็บ อาการก็คือ มันจะเป็นตัวกลมๆแบนๆเกาะติดที่ตัวปลาคอยดูเลือดครับ แล้วปลาจะมีอาการคล้ายๆกับหนอนสมอเลย แต่เห็บมันจะแพร่พันธุ์เร็วมาก ถ้าแกะได้ก็ยิ่งดีครับ การรักษาก็เหมือนกันครับแช่ปลาในสารละลาย ดิพเทอเร็กซ์ เป็นเวลา 1 เดือน และแยกออกมาด้วย -โรคจุดขาว มันจะเป็นจุดขาวๆติดอยู่ตามเหงือกของปลานะครับ มันเป็นโปรโตซัวขนาดใหญ่ มีรูปร่างเหมือนไข่ และมันจะทำให้ปลาเกิดการระคายเคือง การรักษานะครับ ใช้มาลาไคท์กรีน แช่ตลอดไป และควรใช้ทุกๆ 7 วันครับ ประมาณ 2-3 ครั้ง -โรคครีบและหางเปื่อย ปลาจะมีอาการซึม แล้วก็จะไม่ค่อยกินอาหาร เวลาว่ายน้ำก็มักจะกระตุกเป็นพักๆ ครีบและหางของมันจะแหว่งเหมือนกับถูกกัด และมันจะค่อยๆลามไปเรื่อยๆ จนหางหายไปในที่สุด และก็จะทำให้ปลาตาย การรักษานะครับ แช่ปลาที่ป่วยด้วย ฟอร์มารีน เป็นเวลา 2-3 วัน -โรคท้องบวม ปลาค่อนข้างจะมีอาการซึม ไม่เคลื่อนไหว ไม่ค่อยกินอาหารครับ มันเป็นโรคที่เกิดจากแบคทีเรีย มักจะชอชอออยูใต้ผิวน้ำหรือจมอยู่ก้นบ่อ บริเวณท้องจะบวมมากๆ การรักษานะครับ แช่ปลาในยาปฏิชีวนะออกซี่เตตร้าซัยคลิน หรือเตตร้าซัยคลิน เป็นเวลา 2-3 วันนะครับ และใช้ซ้ำอีกถ้ายังไม่หาย และควรควบคุมอาหารให้ปลาด้วย -โรคเสียการทรงตัว ปลาจะชอบว่ายน้ำหมุนควง หรือตีลังกาเสียการทรงตัว มักจะตกเลือดตามตัวและซอกเกล็ด อาจจะเกิดจากความผิดปกติของถุงลม สาเหตุของโรคไม่แน่ชัดครับ การรักษานะครับ ยังไม่มีวิธีใดรักษาโรคนี้ได้ เพราะมันเกี่ยวข้อกับถุงลมหรือระบบภายในของปลาทองนะครับ แต่เบื้องต้นก็ควรนำไปแยกไว้ในที่แคบและน้ำตื้น ใส่เกลือลงไปครับ อาจทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ "ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นแค่โรคที่พบโดยส่วนใหญ่นะครับ ยังมีโรคมากมายกว่านี้ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันเท่าไหร่ แล้วผมจะศึกษาหาข้อมูลมาบอกพี่น้องชาว GOLDFISH ทุกคนนะครับ สำหรับวันนี้ผมต้องขอลาไปก่อน บ๊ายบาย"
วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557
โรคของปลาทอง
วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557
การดูแลปลาทอง
ปลาทองเป็นปลาสวยงามแล้วก็เลี้ยงง่ายก็จริงอยู่นะครับ แต่ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็ต้องผิดหวังหรือเสียใจที่ปลาทองของตนเองนั้นตายไปทั้งๆที่คิดว่าเลี้ยงดูอย่างดีแล้วนะครับ เนื่องจากปลาทองเรียกว่าเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายก็จริงนะครับแต่ก็ตายง่ายด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นผมอยากให้ลองอ่านดูซักนิดนะครับแล้วจะไม่ต้องผิดหวังอีก ภาชนะที่ใช้เลี้ยง ภาชนะที่ใช้เลี้ยง ส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงในตู้กระจกใส และอ่างซีเมนต์นะครับ หากเลี้ยงในตู้กระจกควรเลือกขนาดที่มีความจุของน้ำอย่างน้อย 40 ลิตร ใช้เลี้ยงปลาทองได้ 12 ตัว (ถ้าเลี้ยงมากกว่านี้ปลาอาจจะมีออกซิเจนไม่เพียงพอและอาจทำให้ปลาไม่โตแถมตายเร็วอีกด้วยนะ) แต่ถ้าเลี้ยงในอ่างซีเมนต์ ต้องคำนึงถึงแสงสว่าง และพื้นต้องไม่ขรุขระด้วยนะครับ เพราะจะทำให้ท้องของปลาเป็นแผลครับ การให้อาหาร แนะนำว่าควรให้อาหารสำเร็จรูป วันละ 1-2 ครั้ง โดยการให้แต่ละครั้งไม่ควรมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ปลาทองอ้วน และเสี่ยงตายได้นะครับ เนื่องจากปลาทองค่อนข้างกินจุ คุณภาพของน้ำ น้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดเลย ถ้าใช้น้ำปะปาต้องระวังคลอรีน ควรเตรียมน้ำก่อนนำมาใช้เลี้ยงปลาทุกครั้งด้วยนะครับ โดยเปิดน้ำใส่ถังเปิดฝาวางตากแดดทิ้งไว้เพื่อให้คลอรีนระเหยออกไปประมาน 2-3 วันครับ และก็ควรใส่น้ำยาลดคลอลีนกับน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทิ้งไว้ด้วยนะครับ อากาศหรือออกซิเจนในน้ำ ปลาทองส่วนใหญ่เคยชินกับสภาพน้ำที่ต้องมีออกซิเจน ดังนั้น อย่างน้อยในภาชนะเลี้ยงต้องมีการหมุนเวียนเบา ๆ ครับ เช่น ทำเป็นน้ำพุ หรือทำให้น้ำนั้นตกลงมากระแทกกับผิวน้ำครับจะทำให้เกิดออกซิเจน หรืออาจใช้เครื่องอ๊อกก็ได้ครับ"แล้วก็มีอีกอย่างนึงนะครับที่ทุกคนอาจมองข้ามไป ซึ่งตัวผมเองก็ได้เคยมองข้ามข้อนี้มาเหมือนกัน ก็คือการที่เราพึ่งซื้อปลามาใหม่นะครับ ไม่ควรปล่อยมันลงไปเลยเพราะปลามันปรับอุณหภูมิไม่ทันนะครับ วิธีก็คือแกะยางที่ปากถุงออกก่อนแล้วก็น้ำลงไปแช่ในตู้หรือบ่อที่เราเลี้ยงไว้ประมาน 15 นามีเพื่อให้ปลาปรับอุณหภูมินั่นเองครับ"เอาล่ะครับสำหรับวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนเนาะ เจอกันบล๊อกหน้านะครับ ส่วนจะเป็นเกี่ยวกับอะไรนั้นโปรดติดตามมมมมม
วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557
สิงห์สยาม (สิงห์ดำตามิด)
เอาละครับ จากเมื่อครั้งที่แล้วผมได้ทิ้งท้ายไว้ว่ามีปลาทองที่เป็นฝีมือของคนไทยจะเป็นปลาอะไรเรามาดูกันเลย
ปลาทองที่เป็นฝีมือของคนไทยก็คือสิงห์สยามหรือสิงห์ดำตามิดนั่นเอง การคิดค้นสายพันธุ์นี้ึขึ้นมาโดยเริ่มจากที่สหกรณ์ปลาสวยงาม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรีนั่นเอง สิงห์สยามเป็นที่นิยมเลี้ยงในปัจจุบัน ลักษณะเด่นก็คือเป็นสีดำทั้งตัวเลยครับ ไม่เว้นแม้แต่ท้อง ส่วนหัวจะมีวุ้นขนาดใหญ่ปิดตามิด จนมองไม่เห็นลูกตา ส่วนลักษณะอื่่นก็เหมือนกับสิงห์ทั่วไปๆอะครับ ไม่มีครีบหลัง หางสั้น แข็งแรง
วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2557
ประวัติปลาทอง
ปลาทองนะครับ บางครั้งก็เรียกกันว่า"ปลาเงินปลาทอง" มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศจีนและญี่ปุ่น เป็นปลาน้ำจืดนะครับ และต่อมาถูกพัฒนาสายพันธุ์มาไม่ต่ำกว่า 2000 ปีจนกลายเป็นปลาสวยงามหลากสายพันธุ์มาจนถึงทุกวันนี้ ประเทศจีนนะครับถือเป็นประเทศแรกที่เลี้ยงปลาทอง แต่ว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่พัฒนาสายพันธุ์ที่สวยงามและหลากหลายจนถึงปัจจุบัน โดยเมืองแรกที่ทำการเลี้ยงคือ ซะไก ในจังหวัด โอซะกะ ในราวๆค.ศ.1502-1503 ประเทศไทยก็มีการพัฒนาสายพันธุ์ปลาทองเหมือนกันนะครับ แต่จะเป็นพันธุ์อะไรน้ันติดตามกันต่อในบล็อกต่อไปนะครับ ฝากด้วยนะ ^^
วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557
การผสมเทียมปลาทอง
-ให้เตรียมภาชนะสำหรับใส่น้ำไว้นะครับ แนะนำให้ใช้กะละมังสีขาวเพราะจะได้เห็นไข่มันได้ดี ใช้ใบใหญ่กับใบเล็กนะครับ
-จับตัวผู้กับตัวเมียที่พร้อมแล้วแยกออกมาไว้ในภาชนะใบเล็กที่เราเตรียมไว้ประมาน 15 นาที แนะนำให้ใช้ตัวผู้สองตัวนะครับ
-จากนั้นก็ใช้มือขวาจับตัวผู้ ใช้มือซ้ายจับตัวเมียไว้จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างค่อยๆบีบบริเวณท้องและทวารหนักของมันให้น้ำเชื้อและไข่ลงไปในภาชนะที่เตรียมไว้
-จากนั้นก็เอาพ่อกับแม่พันธุ์กลับไปไว้ที่เดิมของมัน
-ใช้มือคนที่กะละมังเพื่อให้น้ำเชื้อและไข่ผสมกันได้ดี ทื้งไว้ 20 นาทีและไปเทน้ำทิ้ง
-ไข่ของปลาจะติดอยู่ที่ก้นกะละมังนะครับ และก็นำกะละมังใหญ่ไปใส่น้ำแล้วก็เอากะละมังที่เราผสมแล้วมาใส่ไว้ในกะละมังใหญ่
-เอาออกซิเจนใส่ลงไปในกะละมังใหญ่ ไม่ควรใส่โดยตรงที่กะละมังเล็กเพราะว่าจะทำให้ไข่ปลากระจายครับ
-ทิ้งไว้ 2-4 วันปลาก็จะออกมาเป็นตัวอ่อนร้อยๆพันๆตัวเลยทีเดียวครับ
-ในช่วง 2-3 วันแรกไม่ควรให้อาหาร แต่ควรให้เมื่อปลามีอายุประมาน 7 วันแล้วครับ
-อาหารที่ควรให้ก็คือ อาทีเมียครับ หรือลูกไรเล็กๆ
-เมื่อปลามีอายุ 1 เดือนก็จะเห็นลักษณะและรูปร่างพอสมควรแล้วก็ถึงช่วงที่ต้องทำใจกัน
-ต้องเลือกปลาที่มีลักษณะดีที่สุดไว้ และก็แข็งแรง ส่วนปลาที่ไม่แข็งแรงและลักษณะไม่ค่อยก็ต้องทำใจทิ้งมันครับ แต่ถ้าใครคิดว่าเลี้ยงไหวก็เลี้ยงไปครับ